15 October 2007

พาเกาหลีไปแอ่ว (เที่ยว)

มีหนุ่มเกาหลีมาแอ่วเชียงใหม่

ความจริงก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรมากมายหรอก

คือเค้าไปเที่ยวที่สุราษฎร์มา ก่อนที่จะมาเชียงใหม่

แล้วบังเอิญก็ไปรู้จักกับแนน ที่สุราษฎร์โดยบังเอิญ

แนนก็เลยโทรมาเล่าให้ฟัง แล้วเค้าก็สนใจที่จะมาเชียงใหม่

หลังจากแนนเอารูปกระเหรื่ยงคอยาวให้เค้าดู

แนนก็เลยโทรมาฝากฝังไว้ใหญ่เลย (ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน)

* เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (07-10-2007) ขณะที่กำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบวันศุกร์ที่จะถึงอยู่นี้ จู่ ๆ แนนก็โทรเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวเลยว่า ตาหนุ่มเกาหลีมาถึงเชียงใหม่แล้ว "อารายยยฟะ กำลังอ่านหนังสือจะสอบ มาทำไมตอนนี้เนี๊ยะ เป็นภาระจริง ๆ เลย" (คิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าบอกออกไป) เอาฟะเป็นไงเป็นกัน ก็เลยโทรไปหาอีตาเกาหลีนี่ คุยกันตอนแรกคุยไม่รู้เรื่อง ต้องถามซ้ำแล้วซ้ำอีก OCD ชิปเป๋ง

* กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง สรุปว่าก็เลยพามันไปกินข้าวกลางวันมื้อนึง เป็นอาหารเมือง มันชอบ"แกงคั่วเห็ดถอบ" มากเลย แกงคั่วเห็ดถอบมันก็จะแกงเหมือนแกงเผ็ด (คิดไม่ออกนึงถึงพะแนงหมูไว้) แล้วก็ใส่เห็ดถอบ ซึ่งเป็นเห็ดพื้นบ้านของภาคเหนือ หากินได้เฉพาะช่วงหน้าฝน ไม่สามารถปลูกกินเองได้ ต้องไปเก็บในป่าเท่านั้น มันช่างโชคดีเสียนี่กระไร เราอยู่เชียงใหม่มาเกือบสิบปี กินนับครั้งได้เลย มันมาครั้งแรกก็ได้กินเลย

* ระหว่างกินข้าวก็ได้สืบสาวราวเรื่องดูว่ามันมีหัวนอนปลายเท้ามาจากไหน สรุปได้ว่ามันเรียนจบ English literature (มันคือคณะอักษรฯ เอกอังกฤษหรือเปล่าหว่า?) แล้วก็ไปทำงานที่ออสเตรเลียได้ปีกว่า ๆ แล้วก็ไปทำงานทีนิวซีแลนด์ต่ออีก 9 เดือน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลย มันพูดอังกฤษเก่งกว่าตูอีก ตอนนี้ลาออกจากงานแล้ว และเอาตังค์เก็บที่มีอยู่มาท่องเที่ยวแบ็กแพคแถบเอเชีย ก่อนจะมาเมืองไทยมันก็ไปฮ่องกง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาแล่ะ ส่วนในไทยมันก็ไปเก็บกวาดที่ภาคใต้กะกรุงเทพมาแล่ะ ฟังมันเล่าแล้วอิจฉาจิง อยากทำแบบนี้บ้าง แล้วมันยังมาแซวเรากะแนนอีก หาว่าเราเป็น Boyfriend กะแนน เราก็บอกว่าไม่ใช่ ๆ มันก็บอกว่าแนนบอก (คดีนี้ต้องได้สะสางกันแน่...แนนเอ๋ย)

* กินข้าวเสร็จ ก็พามันไปต่อที่สวนพฤกษศาสตร์สิริกิตติ์ อยู่แถวแม่ริม ขับรถไป เกือบ 20 โล เห็นจะได้ (มันบอกอยากเที่ยวอะไรที่เป็น nature ๆ ) ไอ้เรานะอยู่เชียงใหม่มานานเคยไปแค่ครั้งเดียว แถมตอนนั้นนานมากแล้วด้วย และก็ไปกับเพื่อน แต่วันนี้ต้องขับรถไปเอง ทางก็ไม่รู้จัก ต้องโทรไปถามทางออวีเป็นระยะ ๆ แต่ในที่สุดก็ไปถึงจนได้ (นึกว่าจะไปไม่ถูกแล้ว) แต่ไปถึงก็เดินได้อยู่ชั่วโมงนึง มันก็ปิดพอดี มันก็บอกนะว่าชอบ (เออ.. ก็ดีที่ชอบ อุตส่าห์ขับรถถ่อมาไกลขนาดนี้ แถมเพิ่งมาเองเป็นครั้งแรกอีกต่างหาก) ตอนไปเนี๊ยะ มีหมอกเต็มเลย เพราะช่วงนี้ฝนตกด้วยล่ะ แล้วก็มีต้นขวดที่เค้าชอบไปถ่าย ๆ กันตอนงาน Royal Flora ด้วย คราวก่อนมายังไม่มี แต่เสียดายที่ไม่ได้เอากล้องไป ก็เลยไม่มีรูปมาให้ดู ตอนเย็นก็พามันไปเดินถนนคนเดิน ไอ้นี่มันก็โชคดีอีกแล่ะ เพราะว่าถนนคนเดินจะจัดแค่คืนวันอาทิตย์เท่านั้น ตอนไปถึงหน้าตามันก็อะเมซิ่งมาก ๆ กับเพราะคนมาเดินกันเยอะแยะ (อันนี้ก็ขอสารภาพอีกเช่นกันว่า มาเดินคราวนี้เป็นครั้งที่สอง ตั้งแต่อยู่เชียงใหม่) แล้วก็สรรหาอาหารไทย ๆ ให้มันลอง ก็มีผัดไทย แหนมคลุก เฉาก๊วยโบราณ ข้าวเกรียบปากหม้อ ขนมกล้วยม้วนใส่ใบตอง (จำไม่ได้ว่าเรียกอะไร คล้าย ๆ ขนมตาลแต่ทำจากกล้วยอะ) มันก็ชอบใจใหญ่เลย

* เดินไปสักพักเราเริ่มหมดแรงเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน แต่มันไม่รู้บ้าพลังมาจากไหนเดินก็เร็ว แถมเดินมันทุกตรอกซอกซอยอีก ตูนี่ขาแถบลากอยากจะกลับแล้ว แต่ก็ต้องเดินเป็นพื่อนมัน ระหว่างนั้นก็ถามมันว่ามันมีแพลนไปไหนมั้ยพรุ่งนี้ มันก็บอกว่าไม่มี..... เอ๊ะ ตานี่ มาเที่ยวแบบไม่มีแพลนอะไรเลย มันบอกว่ามันไม่สามารถแพลน in detail ได้เพราะมันต้องไปหลายประเทศ มันแค่แพลนว่าจะไปประเทศไหนเท่านั้นเอง สรุปก็เป็นภาระตูอีก ต้องคิดแพลนให้มันพรุ่งนี้ ก็เลยแนะนำไปว่าให้มันไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ และก็โปรโมตคุณช่วงช่วง กะคุณหลินหุ่ย (คำเอ้ย กะ คำอ้าย in chiangmai name) มันก็ทำหน้าตาตื่นเต้นอยากไปดูมาก มันไม่เคยดู สรุปก็เลยให้มันไปสองที่นี้ตอนกลางวันพรุ่งนี้ เพราะเราต้องทำงาน กว่าจะเดินกันเสร็จ ส่งมันที่โรงแรม เข้านอนตอนเที่ยงคืน ผ่านไปหนึ่งวันหนังสือได้แตะ ๆนิดเดียวเอง

* วันต่อมา (จันทร์) เราก็ไปบอกว่า เราว่างหลัง 5 โมงเย็นนะ โทรมาได้ สรุปมันก็ไม่โทรมา เราต้องโทรไป ตอนแรกก็นึกว่ามันคงจะมีแพลนแล้ว ก็เลยไม่โทรมา สรุปว่าทันก็ยังไม่มีแพลนอีกตามเคย ข้าวมันก็ยังไม่ได้กิน เผอิญเมื่อวานดันไปสัญญากับมันเมื่อวานว่าจะพามันไปกินข้าวเย็นวันนี้ ก็เลยต้องไปรับมัน และสถานที่ที่เราพามันไป คือ "เฮือนข้าเจ้า" เป็นแนวอาหารขันโตก (อาหารเมือง) และก็มีโชว์การแสดงของทางภาคเหนือ มันก็ประทับใจใหญ่เลย (เราก็ happy ไปด้วย) แต่ค่าอาหารก็แพงโขเชียว เราก็ดันเลี้ยงมันอีก ตอนกินข้าวมันก็เอารูปแพนด้ามาโชว์เราด้วย ดูท่าตาเกาหลีนี่จะชอบแพนด้ามาก ๆ บอกว่ามันน่ารักดี

* กว่าการแสดงจะเลิกก็ปาไป 3 ทุ่มครึ่ง มันก็บอกว่ามันต้องไปจองทัวร์กะเอเจนท์ซี่ จะไปทริปขี่ช้าง ดูกะเหรี่ยงคอยาว แล้วก็ล่องแพไม้ไผ่พรุ่งนี้ (อันนี้เราเคยไปแต่ล่องแพไม่ไผ่อย่างเดียว สงสัยต้องหาเวลาไปเที่ยวแบบมันบ้าง) เราก็สงสัยว่าทำไมมันไม่รีบจองก่อนน้าาาา เป็นอีตาเกาหลีที่ไม่มีแพลนอะไรเลยจริง ๆ เดือดร้อนเราต้องไปเสาะหาเอเจนท์ซี่ทัวร์ให้มันจองตอนจะสี่ทุุ่ม (แต่ก็เต็มใจทำให้นะ) แล้วก็พามันไปกินนมนมต์ต่อ วันนี้กว่าจะกลับหอก็เกือบเที่ยงคืนอีกเช่นกัน หนังสือหนังหาไม่ต้องพูดถึง

* วันถัดมา (อังคาร) วันนี้ใจแข็งไม่โทรไปหามัน เพราะคิดว่ากว่าจะจบ one day trip ของมันคงเย็นอยู่ เลยกลับหอไปอ่านหนังสือ อ่านได้สักพัก........ลองโทรไปหามันดู ถามมันว่าอยู่ไหน-สรุปว่ามันอยู่ที่ hotel เลยถามต่อว่าไม่มีแพลนไปทำอะไรเหรอ-มันก็บอกว่าไม่มี แล้วถามว่ากินข้าวยัง-มันบอกว่ายัง ...... เฮ้อ...ตานี่ไม่มีแพลนอะไรเลย ยิ่งถามมันยิ่งสงสาร แต่ก็บอกปัดมันไปว่าตอนนี้ยังไม่เสร็จงาน ไม่ว่างไป take เลยแนะนำให้มันนั่งรถแดงไปเที่ยว "night bazar" เอง ส่วนเราเดี๋ยวจะไปรับมันไปกิน"ไก่นางฟ้า" ตอนเที่ยงคืน แล้วเราก็อ่านหนังสือต่อ

* ประมาณ 2 ทุ่มเริ่มทน (ตัวเอง) ไม่ได้ เลยโทรไปหามันอีกรอบ ถามว่าอยู่ไหน-มันบอกว่ากินข้าวอยู่แถวโรงแรม (ดูมันทำตัวน่าสงสารเชียว) สรุปเราก็เลยทนไม่ได้ บอกมันว่าเดี๋ยวจะไปรับ พามันไปเที่ยว พอพูดจบเท่านั้นแหละ มันน่ะรีบตอบเลย "Really Really" เราก็ทำเสียงดีใจสุดขีด เฮ้อ..........ตานี่......

* สรุปก็พามันไปเดิน"กาดหลวง" ซื้อแก้วมังกร กับขนุนให้มันลองกิน มันน่ะมาบอกว่าแอบเสียดายที่เราโทรมาหลังจากมันกินข้าวแล้ว เพราะว่าที่ตลาดเนี๊ยะของกินเพียบเลย มันก็จะซื้อโดนัทเพลน ๆ กิน เรารีบห้ามมันไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวเที่ยงคืนเราจะไปกินไก่กัน ต่อจากนั้นก็พามันไปที่ "night bazar" อันนี้ไม่มีอะไรอ่ะ เดินเล่นเฉย ๆ เรามาบ่อยแล้ว

* พอตอนประมาณ 5 ทุ่มเราก็ไปกิน"ไก่นางฟ้า" กัน หลายคนคงสงสัยว่า"ไก่นางฟ้า" มันคืออะไรกัน มันก็คือร้านอาหาร ที่ขายไก่ทอดธรรมดา ๆ นั้่นเอง แต่มันจะเปิดขายตอนเที่ยงคืนเท่านั้น กลางวันไม่เปิด ใครมาก่อน 5 ทุ่มครึ่ง ถึงแม้จะตั้งร้านเรียบร้อบแล้ว ก็ยังไม่สามารถสั่งได้ ต้อง 5 ทุ่มครึ่งตรงเท่านั้น ส่วนรสชาติก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่อร่อย มันก็คงอยู่ไม่ได้มาจนถึงตอนนี้ ตอนที่เราไปเผอิญว่าไปถึงก่อนเล็กน้อย ก็เลยไปนั่งจองโต๊ะไว้ก่อน สักพักคนไม่รู้มาจากไหน โต๊ะเต็มหมดเลย แถมมีคนยืนรอต่อแถวอีกเพียบ (เขียนแล้วหิวเลย) อันนี้ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยว ต้องเป็นคนในพื้นที่เท่านั้นที่รู้กัน ( อ้าว.....เรากลายเป็นคนในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เราเป็นเด็กเทพฯนะ)

* หลังกินเสร็จก็ไปส่งมันที่โรงแรม ปกติแล้วจะร่ำลากันก่อนแต่วันนี้ จู่ ๆ มันก็วิ่งขึ้นโรงแรมไปรวดเร็ว เราก็เลยงงกะมัน พอขับรถออกมาได้สักพัก มันก็รีบโทรหาเราใหญ่เลยบอกว่าให้กลับมาก่อน เราก็เลยต้องขับรถกลับไปหามัน สรุปว่ามันขึ้นไปหยิบ organizer ของมันมาให้เราจดที่อยู่ให้มัน กับของขวัญตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเทคแคร์มัน ( เป็นพวงกุญแจอ่ะ ) มันบอกว่าจะไปลาวต่อพรุ่งนี้แล่ะ อาจจะไม่ได้เจอมันอีก ฮือ...ฮือ...น่าเศร้าจังเลย (เว่อร์..............ไป)

* วันถัดมาก่อนมันจะไปลาวก็โทรมาร่ำลาเราก่อนไป ( ก็ดี ที่รู้จัก ไปมาลาไหว้...... ) มันต้องนั่งรถไปต่อที่หนองคายก่อนแล้วก็ข้ามแดนไป ตอนแรกมันบอกจะนั่งเครื่องไป สุดท้ายไม่มีตั๋ว มันเลยต้องนั่งรถรถบัสแทน แทบจะไม่มีแพลนอะไรเลยในชีวิตจริง ๆ...............

* สรุปว่าที่อ่านมาอาจจะดูว่าเราเขียนบ่นนู้น บ่นนี่กะตาเกาหลีมากไปหน่อย ทำชีวิตเราวุ่นวาย แต่ว่าโดยรวมเราก็ประทับใจนะเนี๊ยะ เป็นอะไรที่ดีเมื่อเราได้ให้ เราได้ฝึกภาษา เราได้พาเค้าไปเที่ยว ถึงจะเหนื่อย ถึงจะใกล้สอบ แต่ก็เป็นอะไรที่สนุก ถึงจะรู้จักกันแค่ 3 วัน แต่ก็มีแต่ความประทับใจ และความทรงจำที่ดี แถมเค้าบอกว่า เค้าประทับใจเมืองไทยและก็จะกลับมาเที่ยวอีก

สุดท้ายนี้ (เขียนอย่างกะจดหมาย) ต้องขอบคุณ"กะทิ"มากเลยที่มาเป็นเพื่อนร่วมทริปคอยเทคแคร์ตาเกาหลีนี่กะเราตลอด (ไม่ได้ไปเที่ยวหวีดหวิวกะตาเกาหลี 2 ต่อ 2 นะเฟ้ยอย่าเข้าใจผิด)




ปล. ตอนนี้มีตาฝรั่งหัวทองจากเมกามาทำ Ph.D ที่ภาควิชาเรา มาอยู่ประมาณ 9 เดือน เดี๋ยวคงมีอะไรหนุก ๆ มาเล่าอีกเพียบ

ปล.2 เรื่องสอบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลายคนคงเป็นห่วง ถ้าไม่ห่วงก็ไม่เป็นไร (แอบน้อยใจ) แต่ถ้าห่วงก็ดี เพิ่งสอบเสร็จไป ก็พอทำได้นะ คงผ่านแหล่ะ แต่อาจไม่ทอปเท่านั้นเอง (อิอิ)

3 comments:

Anonymous said...

นี่ๆๆ เบ็นซ์ เราเข้ามาใช้สิทธิ์พาคพิง เต็มที่เลยนะ

เป็นไงล่ะ ประทับใจล่ะซิ .....บอกแล้ว ชีวิตชั้น

(nanzy) มันจะมีอะไรมาให้ AMAZING เสมอ

เลย refer case ต่อไปไง นี่แล้วรู้มั้ย case

นี้ refer ไป สมุย ไปกระบี่ ไปภูเก็ต แล้วก้ต่อไป

เชียงใหม่แหละ ...ชั้นก็คุยกะเขายากมาก แต่เดี๋ยว

จะโทรหาเข้า บอกว่าเบ็นซ์ นินทา

จะแปลเป็น sub Eng ส่งไปให้เขาอ่าน...

ส่วนเรื่องสุดท้าย เลยนะจ้าวววว...

เราบอกเขาว่า เบ็นซ์ เป็น boy friend เรา

แต่เราก็บอกเขาต่อนะ ว่า It's JOKE ...

IT's KiDDind (ใครอยากจะไปเป็นแฟนแกล่ะ)

แต่ที่บอกไปอย่างงั้นเพราะ เขาจะเป้นคนแบบว่าขี้เกรง

ใจมาก ตอน refer ไปภูเก็ต เหมือนกันต้องบอกว่า

พี่สาว (ไม่แท้) แต่สนิทกันมากไม่ต้องเกรงใจ

ส่วน case เบ็นซ์ เราก็บอกเราว่าเราสนิทกัน ประมาณ

boy friend (พยายามจะบอกว่า GIG) แต่เขา

คงไม่เข้าใจ ก้ต้องบอกแบบนั้น เขาจะได้ไม่เกรงใจ

ไง ส่งไปให้กวนใจเล่น อิอิ แหม แต่เราก็บอกแล้ว

เทควันเดียวก็พอ แต่นี่ หาเรื่องใส่ตัว ความเป้นคน ที่มี

น้ำใจ และจิตใจดีอย่างเบ็นซ์ เรารู้แหละหน่า ว่ายังไง

ก้อ ...อ่ะนะ เป็นที่รู้กัน 555 (เรียกว่าตบหัวแล้ว

ลูบหลัง ) ปีหน้า นะเฟ้ย เตรียมเทค เราได้เลย

ถ้าไม่เท่าตาลี (ไม่เลี้ยง ไม่จ่าย) เป็นเรื่องแน่ !

(นี่ๆๆๆ เราไม่ refer case บ่อยหรอกนะ ถ้าคิดว่า

ไม่น่าสนใจ ไม่ refer แน่นอน เบ็นซ์ ก้หา case

แบบ ให้มันน่าตื่นเต้น มาให้เราหน่อยดิ แบบ เปิ้ลเนี่ย

ไม่ตื่นเต้นเลย ( แบบพาดพิง ล้อเล่นนะเปิ้ล)

ยาวยังกะเขียน จ.ม.

แหม สอบแล้วยังมา up blog

ได้ แถมยังมา up ตัดหน้าอีก

จำไว้เลยนะ ตาเบ็นซ์ !

Anonymous said...

อย่าร้อนตัวเราไม่ได้ทำ...
ถ้าเธอไม่ได้มีใคร...
เสียงดังโวยวายทำไม....
ลงที่เธอร้ายอารมณ์ใส่ช้าน....
หรือทำอะไรออกไปแทนใจของเธอ
(ร้องให้จบเพลงนะ ของเอ็ม อรรถพลอ่ะ)

Anonymous said...

ฟังจนจบ ก็ม่ายเข้าจายยยอยู่ดี

จะด่าอะไร ก็ด่าตรงๆๆ ไม่ต้องด่าเป็นเพลงหรอก

แปลไม่ออก จะว่าโง่ก็ด้ายยนะ