28 February 2007

Phuket & Krabi Trip



คราวนี้เป็นทริปเล็ก ๆ ชิว ๆ คลายเครียด ขับรถจากสุราษฎร์ ไปกะเพื่อน

ภูเก็ต...

กว่าจะขับรถมาถึง ก็เที่ยงพอดี ก่อนเข้าเมืองก็แวะไปทักทายเพื่อนที่ รพ. ถลาง นิดหน่อย + ไปแย่งกินส้มตำเพื่อนด้วย (อร่อยดี) ก็กินพอหอมปากหอมคอ มื้อกลางวันจริง ๆ คือ หมี่ต้นโพธิ์ (หมี่ฮกเกี๊ยนเจ้าดัง) เรารู้สึกเฉย ๆ อะ กินบ่อยแล่ะ แล้วก็ไม่ค่อยถูกปากเราด้วย(ไม่อร่อย..ว่างั้นเหอะ) แต่อันนี้เพื่อนแนนว้อนท์มาก ก็เลยต้องพาเด็กบ้านนอกไปกิน

กินเสร็จก็ไปชอปปิ้งต่อ ที่ Robinson กะ Central ช่วงนี้ตรงกับ End of season พอดี ก็เลยลดกันกระหน่ำ ได้เสื้อของ cc-oo มาตัวนึง (ลดตั้ง 60 % แน่ะ) แถมด้วยการตัดผม จะบอกว่าตั้งแต่มาอยู่สุราษฎร์ไม่เคยตัดผมที่สุราษฎร์เลย เพราะมัน "โลว์" หาร้านดี ๆ ไม่ได้เลย ถ้าไม่มาตัดที่ภูเก็ต ก็กลับไปตัดกรุงเทพ ฯ
เย็น ๆ ก็ไปหาดป่าตอง คราวนี้แตกต่างกันปีก่อนลิบลับเลย ฝรั่งเต็มไปหมด แถมที่พักก็เต็มเกือบหมด แต่ก็ถือว่ายังโชคดีอยู่ ที่ยังเจอเกสต์เฮาส์เหลือให้ซุกหัวนอน เราพักแค่คืนเดียวด้วยแหละ ถ้าพักหลายคืนอย่าหวังว่าจะมี ไม่งั้นคงต้องไปหาที่พักในเมือง

หลังจากได้ห้องพักแล้ว เราก็ไปกิน Zen ริมหาด (ดูไฮโซมั้ย) ความจริง Zen ที่ Central ก็มี แต่กระแดะไม่กิน ต้องมานั่งกินริมหาดป่าตอง อ๊ะ ๆ อย่าคิดว่าก็จัสท์ Zen ริมหาด เพราะสาขาที่นี่จะพิเศษกว่าที่อื่น ๆ เริ่มด้วยนี่เลย.....เมนูที่นี่ไม่มีภาษาไทย มีแต่ภาษาปะกิตกะยี่ปุ่น ผู้จัดการร้านบอกว่าเมนูอันนี้เป็นอันที่ทำขึ้นเฉพาะสาขานี้เท่านั้น ไม่มีในสาขาอื่น (ดูไฮโซมั้ย) แล้วเมนูที่เค้าขายกันเป็นเซต ๆ ก็เป็นเซตที่ไม่มีขายในสาขาอื่น แต่ละเซตก็จะดูไฮโซ ๆ และเพราะความไฮโซของมัน ราคาก็เลยไฮโซไปด้วย ที่นี่ราคาเค้าจะ up ขึ้นมาประมาณ 3% ถ้าถามว่าเราโง่หรือเปล่าจ่ายแพงกว่าทำไม ตอนแรกก็คิดอย่างงี้เหมือนกัน แต่พอเห็นอาหารที่สั่งมาแล้ว ความใหญ่มันต่างกันเยอะ ที่นี่อะไร ๆ ก็จะดูชิ้นใหญ่ไปหมด ใหญ่ตามไซส์ฝรั่ง (ห้ามคิดลึกนะ) เราสั่งเป็นเซตซูชิไป ในเซตมีหอยเชลล์ ไข่ปลาแซลมอน แล้วปลาอะไรก็ไม่รู้ดูไฮโซ ๆ แล้วก็มียำสาหร่าย กะยำปลาโอเป็นเครื่องเคียง ไฮโซและอร่อยดี แต่ก็หมดไปครึ่งพันเหมือนกัน

กินเสร็จก็ไปเดินย่อยแถวแหล่งโลกีย์...เอ๊ย! ไม่ใช่ แถวแหล่งชอป (แหล่งโลกีย์แค่เดินผ่านพอเป็นอาหารตาเฉย ๆ) แต่ไม่ได้ชอปกระจายอะไร เพราะเดินกี่รอบ ๆ ก็ขายของเหมือนเดิม แต่ก็ได้เสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายซีทรูมาตัวนึง กะไว้ว่าจะใส่ตอนเดินหาดพรุ่งนี้เลย ใส่กะกางเกงเลย์ (Match มาก ๆ) แล้วก็ไป "จังซีลอน" ห้างเปิดใหม่ที่ป่าตอง นึกว่าจะดูดีหรูหรา ใหญ่โตสมกับที่มาเปิดที่หาดป่าตอง แต่พอเห็นแล้วผิดหวัง เป็นห้างคาร์ฟูร์มาเปิด ชั้นล่างก็เป็นร้าน boot , starbuck เดินกินบรรยากาศจนเกือบ ๆ เที่ยงคืน ก็กลับเข้าที่พัก

ช่วงเช้าตื่นมาเดินสูดอากาศที่ชายหาด เห็นเค้ากำลังเก็บเศษขยะที่ไอ้พวกฝรั่งมันมาเที่ยวแล้วทิ้งเอาไว้ ชายหาดตอนสว่างนี่มองเห็นชัดเลย มันดูดำ ๆ หมอง ๆ ยังไงไม่รู้ แล้วก็มีกลด (ร่ม) มาปักเต็มเลย ไม่รู้มันจะมาธุดงค์อะไรกันเยอะแยะ เทียบกับหลังสึนามิใหม่ ๆ ช่วงนั้นธรรมชาติช่วยเก็บกวาดทั้งขยะ (ทั้งคน) จนชายหาดขาวสะอาดบริสุทธิ์เหมือนเป็นสาวพรมจรรย์อีกครั้ง (แต่ตอนนี้แม้แต่เยื่อ...ก็ไม่เหลือ) ทำให้รู้สึกว่ามีสึนามิแล้วดีอย่างนี้นี่เอง

"ธรรมชาติอุตส่าห์ให้อะไรเราตั้งหลายอย่าง มนุษย์เองก็แสวงหาประโยชน์จากมัน แล้วมนุษย์เองอีกนั่นแหละที่ทำลายมัน" (อย่างงี้มันน่าจะมีสึนามิอีกสักรอบมั้ยดีมั้ยเนี๊ยะ)

พอสาย ๆ แดดเริ่มร้อนแล่ะ ซันบล็อกก็ยังไม่ได้ทา เดี๋ยวผิวจะเสียได้ ก็เลยขอบ๊ายบายก่อนนะจ้ะ...หาดป่าตอง เราก็ขับรถเข้าตัวเมือง ไปหาติ่มซำ(เจ้าอร่อย)กิน กว่าจะออกจากภูเก็ตก็เกือบ ๆ เที่ยง ทริปนี้ยังไม่จบ เราจะขับรถไปต่อกันที่....

กระบี่...

กว่าจะขับถึงกระบี่ก็เลยมื้อเที่ยงมานานแล้ว เราเลยแวะ Mc donale (ร้านสิ้นคิด) ที่หาดอ่าวนาง เพื่อหาอะไรไดลูทล์น้ำย่อยในกระเพาะไปพลาง ๆ ก่อน จากนั้นก็นั่งเรือข้ามไปยังอ่าวไร่เลย์ (หาดนี้เดินไปไม่ได้ ต้องนั่งเรือเท่านั้น เพราะมันมีภูเขาลูกใหญ่ขวางระหว่างหาดกะแผ่นดิน) ที่ไร่เลย์ก็จะมีหาดย่อย ๆ อีกหลายหาด หาดที่นี่จัดว่าสวยที่สุดของ จ.กระบี่ ก็ว่าได้ ถ้าไม่นับรวมกับหาดที่อยู่ตามเกาะต่าง ๆ นะ

ตอนนั้นช่วงบ่าย ๆ แดดกำลังร้อนแสบผิวพอดี ก็มีคนไทยอยู่สองตัว เดินเสร่อกางร่มริมชายทะเล คนไทยสองคนนั้นไม่ใช่ใครหรอก เป็นเรากะเพื่อนนั่นเอง ก็มันร้อนนี่คร้าบบบบ (ไม่ใช่กลัวผิวเสียนะเฟ้ย) หาดแถว ๆ นั้นก็มีแต่ฝรั่งนอนอาบแดด ไม่ค่อยมีคนไทย ทีนี้พอมันเห็นคนเดินกางร่ม มันก็มองสิครับ มันคงมองเพราะอิจฉาที่เรามีร่ม แล้วมันไม่มีแน่ ๆ เลย (แต่ดูสายตามันจ้องเราแปลก ๆ อยู่นา) ..... เดินกางร่มกินลมชายทะเลมันผิดด้วยเหรอฟะ แต่ขอบอกว่าตอนนั้นมันร้อนจริง ๆ นะ

ที่นี่เค้ามีกิจกกรรมปีนเขาด้วย ตอนแรกก่อนมาก็คิดจะไปปีนดูเหมือนกัน แต่พอมาเห็นฝรั่งที่นี่เค้าปีนกันแล้ว...เหนื่อยแทนเลย มันปีนกันจนแขนโป่งมือพองไปหมด เราก็ได้แต่ยืนมองแล้วถ่ายรูป จากนั้นก็โบกมือลาทันที ความตั้งใจที่จะปีนตอนแรกมลายหายสิ้น...ก็เรามาพักผ่อนนี่ฝ่า จะมาทำอะไรเหนื่อย ๆ ทำไม จิงมะ
ตอนเย็น ๆ เราก็นั่งเรือกลับมาหาดอ่าวนางใหม่ ตระเวนหาเกสต์เฮาส์แถว ๆ นั้น กว่าจะหาได้ก็เมื่อยขาเอาการเหมือนกัน เพราะถามที่ไหน ๆ ก็เต็มหมด ที่พักที่ได้อยู่ไกลจากหาดออกไปหน่อยนึง หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็นอนพักเอาแรงสักหน่อย ตกดึก ๆ ก็ได้เวลาออกหากิน เอ้ย...ไปกินข้าว มื้อนี้เราขับรถไปกินที่ "ครัวธารา" อยู่ตรงหาดนพรัตน์ธารา เป็นร้านอาหารแนะนำ (เพิ่งออกรายการทีวีไปด้วย) เรามากินที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว อาหารทะเลที่นี่เค้าทำสด อร่อย และที่สำคัญราคาไม่แพงเกินไป (ร้านนี้ได้ออกรายการทีวีเมื่วันก่อนด้วย) กินเสร็จเราก็ไปเดินย่อยต่อที่ริมหาดอ่าวนาง แถว ๆ นี้ตอนกลางคืนก็จะมีร้านรวงให้เดินชอป คล้าย ๆ กับที่หาดป่าตอง ถึงแม้บรรยากาศจะไม่คึกคักเท่า แต่เรารู้สึกชอบแบบนี้มากกว่าอะ มันดูเข้าถึงธรรมชาติดี

เดินไปสักพักความหิวก็เริ่มมา พอดีสายตาเหลือบไปเห็นร้านขายโรตีเจ้านึง โรตีเจ้านี้จัดว่าทำอร่อยดีทีเดียวเชียว เค้าทำแป้งได้บางกรอบมาก เราสั่งโรตีไส้มะม่วงไป ทำออกมาแล้วรสชาติเข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนของเพื่อนเป็นไส้เม็ดมะม่วงหินพานต์ราดชอคโกแลต อันนี้ก็ใช้ได้ ... โรตีอร่อย แถมคนขายยังยิ้มสวย บริการประทับจิตอีกต่างหาก คืนนี้ก็เลยหลับฝันดี สบายแฮเลย

ตื่นมาอีกทีก็สาย ๆ แล่ะ วันนี้ชิว ๆ ไม่เร่งรีบ นั่งดู series เกาหลีเรื่องใหม่ที่มาฉายช่องเจ็ดไปพลาง บิดขี้เกียจบนเตียงไปพลาง จนเริ่มรู้สึกหิวก็เลยต้องลุกมาอาบน้ำแล้วไปหาข้าวเช้ากิน ไม่งั้นคงนอนอืดบนเตียงไปเรื่อย ๆ แน่ มื้อเช้านี้เราตกล่องปล่องชิ้นกับร้านอาหารข้างทางริมชายทะเล ขายพวกอาหารทะเลชุบแป้งทอด อาหารเสียบไม้ (ส้มตำก็มีนะ) มื้อนี้ก็เลยเดินเล่นไปพลาง กินไปพลาง (ความจริงเค้ามีเสื่อให้ปูนั่ง แต่ไม่เอา) พอกินหมดแดดก็ร้อนพอดี เลยรีบหนีขึ้นรถดีกว่า....

โปรแกรมต่อไป เราก็ขับรถไปยังสุสานหอย 400 ล้านปี เพื่อนเราเรียกว่าสุสานหิน ที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะพอไปถึง ถ้าไม่บอกว่ามันเป็นหอย ก็คงเข้าใจว่ามันเป็นแผ่นหินธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง แต่ไหน ๆ มาถึงแล้วก็ขอถ่ายรูปสักแชะ ให้รู้ว่าเคยมาแล้วนะ (คราวก่อนไม่ได้มา)

เอาความรู้ไปประดับใส่หัวกันซะหน่อย --> เค้าบอกว่าสุสานหอยในโลกนี้มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น เกิดจากการพลิกตัวของเปลือกโลก ทำให้ชั้นหินโผล่ขึ้นมา แต่ของไทยนี่เป็นสุสานหินแห่งเดียวในโลกที่อยู่ติดริมทะเล "Amazing Thailand" มั้ย

ที่จริงอยากไป ท่าปอมคลองสองน้ำ ที่เป็น Unseen Thailand อีกที่นึง แต่เพื่อนนุชเคยบอกว่า "ก็จัสท์คลอง ตอนเด็ก ๆ ชั้นไปเล่นบ่อย ไม่เห็นมันจะ Unseen ตรงไหนเลย" (อันนี้คงต้องยก credit ให้ ททท. ที่โปรโมตชวนเชื่อได้เก่งจริง ๆ) และด้วยเวลาที่จำกัดก็เลยไม่ได้ไป (ความจริงขี้เกียจขับรถอะ เป็นโรคขี้เมื่อย...อย่างงี้ต้องไปเข้า spa ซ้าหน่อย)

สรุป 2 ปีให้หลัง ธรรมชาติก็ค่อย ๆ ถดถอย แต่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวก็กลับมาเฟื่องฟูเหมือนเดิม เซ็ง... (เอาสึนามิอีกทีท่าจะดี)

No comments: